ปฏิเสธไมได้เลยว่า ทุกวันนี้ เรากําลังอยู่ในยุคที่หน้าจอกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจนแทบจะแยกไม่ออก และในขณะ “AI” กําลังพัฒนาเร็วกว่าที่มนุษย์จะตามทัน การพัฒนาสติจึงเป็นความสําคัญ เพราะ “สติ” คือสิ่งที่ไม่มี AI ตัวไหน เลียนแบบได้และเป็นเกราะป้องกันที่ทําให้เรารู้เท่าทันอารมณ์และการกระทําของตัวเอง
“ทักษะการรู้เท่าทันสื่อ สารสนเทศ และดิจิทัล” จะเป็นภูมิคุ้มกันทางดิจิทัล ที่มนุษย์ทุกคนควรมีมันไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้เทคโนโลยีให้เก่ง แต่คือ “วิธีคิด” ที่ช่วยให้เราอยู่กับโลกออนไลน์ได้อย่างมีสติ
เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2568 คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ มูลนิธิส่งเสริมสื่อเด็กและเยาวชน (สสย.) โคแฟค (ประเทศไทย) มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย สมาคมวิทยุและสื่อเพื่อเด็กและเยาวชน (สสดย.) และภาคีเครือข่าย เพื่อเตือนใจคนยุคดิจิทัลว่า “สติ คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดบนโลกออนไลน์” ปีนี้ งาน MIDL Week 2025 มาพร้อมธีม “ร่วมสร้างโลกออนไลน์ที่ดีกว่า” ชวนทุกคนโดยเฉพาะเยาวชน มองให้ลึกกว่าแค่หน้าจอ
นางญาณี รัชต์บริรักษ์ ผู้อํานวยการสํานักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา สสส. กล่าวว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทยทุกช่วงวัย โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่มีอัตราการใช้อินเทอร์เน็ตสูงถึง 99.2% แม้อินเทอร์เน็ตจะเปิดโลกให้พวกเขาได้เรียนรู้ไม่สิ้นสุด แต่ในอีกมุมหนึ่ง พวกเขาต้องเผชิญกับแรงกดดันจากสังคมออนไลน์ ข้อมูลเท็จ การกลั่นแกล้งทางออนไลน์และคอนเทนต์ที่กระทบต่อสุขภาพจิตใจโดยตรง
สสส. มุ่งขับเคลื่อนให้เกิด ‘ระบบนิเวศสื่อสุขภาวะ’ ที่ไม่ใช่แค่ทําให้คนเสพสื่ออย่างปลอดภัย แต่ทําให้เขาเข้าใจสื่อ และใช้มันสร้างสิ่งดีให้กับสังคม แนวคิด MIDL หรือ Media, Information and Digital Literacy คือ “วัคซีนดิจิทัล” ที่ทุกคนควรมี
เพราะมันไม่เพียงช่วยให้เราใช้เทคโนโลยีได้เก่งขึ้น แต่ยังทําให้เรามี “วิธีคิดที่เท่าทัน” การรู้เท่าทันสื่อไม่ใช่แค่เรื่องของเยาวชน แต่คือเรื่องของทุกคนในสังคม เพราะทุกคนคือ “ผู้ใช้สื่อ” และในขณะเดียวกันก็เป็น “ผู้ผลิตสื่อ” ด้วย
MIDL Week 2025 จึงเป็นมากกว่างานรณรงค์ แต่เป็นพื้นที่เรียนรู้ร่วมกัน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางดิจิทัลให้กับสังคมไทยอยากให้ทุกคนตระหนักว่า ‘สติ’ คือเกราะป้องกันชั้นดี ที่ช่วยให้เราอยู่กับโลกออนไลน์ได้อย่างปลอดภัยและมีความสุข
ในยุคที่ “AI” สามารถทําได้แทบทุกอย่าง ตั้งแต่เขียนบทความ วาดภาพ ไปจนถึงเลียนเสียงมนุษย์ สิ่งเดียวที่เทคโนโลยียังไม่สามารถลอกเลียนได้คือ หัวใจและสติของมนุษย์ เราไม่จําเป็นต้องแข่งกับ AI แต่ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับมันอย่างมีจริยธรรมและมีสติ
ข้อคิดจาก รศ.ดร. อลงกรณ์ ปริวุฒิพงศ์ รองคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในยุคที่ AI ท้าทายว่า อะไร คือ ความจริง แต่สําหรับมนุษย์แล้วสติและการตรวจสอบเท่านั้น จะเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด ในฐานะผู้ธํารงรักษาความจริง ไม่ใช่เครื่องจักรกล
ในขณะเดียวกัน มนุษย์ก็สามารถอยู่ร่วมกับเครื่องจักรได้ หากใช้ AI อย่างมีจริยธรรมและวิจารณญาณ ให้เทคโนโลยีเป็นเพื่อนร่วมคิดไม่ใช่ผู้ชี้นําความคิด เพราะหัวใจมนุษยธรรมและศีลธรรมของเรายังเป็นสิ่งที่เครื่องจักรไม่สามารถเข้าใจได้
ดังนั้นการอยู่ร่วมกันของคนและ AI จึงไม่ใช่การแข่งขันระหว่างปัญญา แต่เป็นการผสานพลังระหว่าง ความคิดของมนุษย์กับความสามารถของ AI เพื่อสร้างโลกที่ฉลาดและมีมนุษยธรรมมากขึ้น
ซึ่งในโลกที่ข่าวปลอมแพร่ไวและกว้างไกล การรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ รวมถึงทักษะในการตรวจสอบข้อเท็จจริง คือพลังแห่งปัญญา เมื่อเรารู้จักใช้ข้อมูลอย่างรอบด้าน จะทำให้โลกดิจิทัลกลายเป็นพื้นที่แห่งโอกาสมากกว่ากับดักของความหลงเชื่อ ช่วยให้เราหยุดคิดอย่างมีสติก่อนแชร์ ก่อนโพสต์ ในทุกครั้งที่นิ้วสัมผัสหน้าจอ
ที่ขาดไม่ได้ น่าจะเป็นบรรยากาศภายในงานที่เต็มไปด้วยสีสันและเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข ในช่วงที่ คุณเข็มพร วิรุณราพันธ์ ผู้จัดการมูลนิธิส่งเสริมสื่อเด็กและเยาวชน (สสย.) กล่าวถึง “องค์เจ้าแม่ช่างแซะ” เพราะการไม่รู้เท่าทันอารมณ์ ความโกรธ ความอิจฉา หรือความไม่พอใจที่เกิดขึ้น ทำให้ไม่เข้าถึงหัวใจของผู้คนรอบตัวเราอย่างควรเข้าใจ เวลาที่เราเผลอแซะ หรือพิมพ์บางคําอาจจะทําร้ายใครโดยไม่รู้ตัว บางทีเราอาจไม่ได้ตั้งใจจะร้าย เครื่องมือที่ช่วยให้เรา “หยุดมอง” และ “เห็นใจ” ตัวเองมากขึ้น
ตบท้ายด้วยว่า การเข้าถึงสื่อ ไม่ได้หมายถึงเพียงการมีอินเทอร์เน็ตหรืออุปกรณ์เทคโนโลยีเท่านั้น แต่หมายถึง การรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง สื่อที่ดีที่สุด คือหัวใจของมนุษย์ที่เข้าใจผู้อื่นได้ เพราะทุกคนต่างมีเรื่องราวของตัวเอง ก็จะไม่รีบแซะ ไม่รีบตัดสิน แต่เลือกที่จะ “ใช้คําพูดสร้างสรรค์” มากกว่า “ใช้คําพูดทําลาย”
“องค์โลภะ” ที่ พ.ต.ท.ประวิทย์ วงษ์เกษม รองผู้กํากับการ 1 กองบังคับการตํารวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2 ยกมากล่าวบนเวทีเสวนา ทำให้เห็นภาพชัดในยุคที่ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงปลายนิ้วคลิก “ความโลภ” กลายเป็นช่องโหว่ใหญ่ของผู้คนบนโลกออนไลน์ เราทุกคนต่างเคยเห็นข้อความว่า “ลดราคาครั้งใหญ่” หรือ “คลิกลิงก์นี้เพื่อรับของฟรี” สิ่งเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนอง ความอยาก ความโลภ และความหวังของมนุษย์ มิจฉาชีพออนไลน์ฉลาดขึ้นทุกวัน พวกเขาใช้จิตวิทยา ใช้เทคนิคหลอกล่อในรูปแบบใหม่ ๆ
“สติ” คือ สิ่งเดียวที่จะช่วยให้เราไม่ตกหลุมพราง ก่อนจะคลิกลิงก์ ก่อนจะโอนเงิน หรือแชร์ข้อมูล ต้องถามตัวเองเสมอว่า “มันสมเหตุสมผลไหม” เพราะโลกออนไลน์วันนี้ไม่มีพรมแดน ความปลอดภัยของเราขึ้นอยู่กับความรอบคอบของเราเอง สติไม่เพียงป้องกันภัยไซเบอร์ได้ แต่ยังป้องกันความเสียใจในใจเราได้ด้วย
“องค์เจ้าพ่อซี้ซั้ว” อีกองค์จาก คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) ยกขึ้นมากล่าวถึง เพื่อให้เห็นว่า ทุกวันนี้ ข้อมูลหมุนเวียนในโลกออนไลน์ด้วยความเร็วที่มนุษย์แทบตามไม่ทัน แต่สิ่งที่หมุนไวกว่า คือ “อารมณ์” ของผู้คนที่ถูกกระตุ้นจากโพสต์หนึ่ง หรือข้อความเพียงไม่กี่บรรทัด
เวลาที่เราเชื่อหรือแชร์อะไรโดยไม่ตรวจสอบ ส่วนใหญ่เกิดจากอคติของเรา เราเชื่อในสิ่งที่ตรงกับใจเรา ต่อให้รู้ว่าไม่จริง แต่ถ้ามันตรงกับอารมณ์ เราก็พร้อมจะแชร์ เพราะฉะนั้น ก่อนเชื่อหรือแชร์ ต้องตรวจสอบเนื้อหา และตรวจสอบใจตัวเองด้วย ท่องไว้เสมอว่า “Keep calm and fact check”
ไม่ว่าจะเป็นตอนพิมพ์คอมเมนต์ แชร์ หรือสร้างคอนเทนต์ เพียงหยุด “หนึ่งวินาที” ก่อนกดส่ง แล้วถามตัวเองว่า “สิ่งนี้จะทําให้โลกออนไลน์ดีขึ้นไหม?” เพราะสุดท้ายแล้ว ศัตรูที่แท้จริงของเราไม่ใช่ AI หรือเทคโนโลยี แต่คือความไม่รู้เท่าทันและการขาดสติในตัวเราเอง
สสส. เดินหน้าส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อและใช้สื่ออย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้ทุกคนเติบโตอย่างเข้าใจ ไม่ปล่อยให้ “องค์” ไหนครอบงํา ใช้ “สติ” เป็นเข็มทิศนําทาง คิดก่อนคลิก อยู่กับสติ สร้างโลกออนไลน์ที่ดีกว่า
เรื่องโดย ภินันท์ชญา สมคํา Team Content www.thaihealth.or.th
ข้อมูลจาก งานรณรงค์เนื่องในสัปดาห์การรู้เท่าทันสื่อ สารสนเทศ และดิจิทัล “MIDL Week 2025”




